บนภูเขาที่สูงที่สุด และเราก็เป็นเพียงจุดเล็กๆของโลกใบนี้ คงมีสถานที่อีกมากมายที่รอให้เราค้นหาคำตอบของตัวเองสำหรับการเดินทางว่าความจริงแล้ว เราชอบท่องเที่ยวแบบไหน หรือความต้องการของเรามีความจำกัดถึงแค่ตรงไหน มันคงจะยากถ้าจะบอกว่าทุกที่ดีที่สุดเมื่อไปเยือน ความจริงมันก็ไม่เชิงผิดทีเดียวนัก เพียงแต่เสน่ห์แต่ละสถานที่ที่ไปเยือน มันช่างประทับใจเกินที่จะบอกกล่าว ใครๆต่างนิยมและเลือกการขึ้นบอลลูน สัมผัสความงามของเมืองในหินผา Cappadocia แต่ถ้าลองเปิดใจสักนิดเมืองเล็กๆอีกเมืองอย่าง Kayseri กลับดึงดูดความสนใจขึ้นมาทันที
ยอดเขาหิมะขาวโพลนระยะไกลเบื้องหน้า ขณะรถบัสเคลื่อนตัว ณ ถนนสายหนึ่ง ที่ทอดตัวยาวสุดลูกหูลูกตา สองข้างทางเต็มไปด้วยไม้พุ่มขนาดย่อมและดอกหญ้าสีสันสวยงาม เพิ่มเสน่ห์ของการค้นพบความสุขของการอยู่กับตัวเองตลอดสองข้างทางอย่างที่ควรจะเป็น ชีวิตของการไม่ต้องรับสายโทรศัพท์สำหรับหนุ่มสาวบ้างานจบลงชั่วขณะ เราใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง จากเมือง Cappadocia ก็มาถึงเมืองไคเซอร์รี่ Keyseri เป็นเมืองที่มีชื่อเสียงอย่างมากในฤดูหนาวสำหรับการเล่นสกี และนิยมมาที่เมืองไคเซอร์รี่เพื่อสัมผัสหิมะและความหนาวเย็น ณ ภูเขาเออร์ซิเยส Erciyes Mountain ที่สูงถึง 3,917 เมตร ความตั้งใจแน่วแน่ของการเยือนภูเขาหิมะลูกนี้ อาจจะไม่ใช่การเล่นสกีแต่เป็นการสัมผัสภูเขาลูกงามนามว่า Erciyes
รถบัสมุ่งสู่ภูเขา Erciyes เบื้องหน้าค่อยๆไต่ความสูงขึ้นทีละระดับ ความหนาวเย็นและขาวโพลนเข้ามาแทนต้นไม้ใบเขียว สองข้างทางเปลี่ยนเป็นหิมะกระจัดกระจายต่างแรงลม และร่องรอยของล้อรถที่ขับผ่านไปมาตลอดเวลา คงถึงแล้วสินะ Erciyes เราใช้เวลาเพียงไม่นานนัก เริ่มปรับตัวเข้าสู่โหมดมนุษย์หิมะ ในขณะที่แสงแดดส่องกระทบพื้นผิวขาวจนเริ่มแสบตา หน้าที่ของแว่นตาจึงเข้ามาทำหน้าที่อย่างพอเหมาะพอเจาะ ในขณะช่วงบ่ายคนต่อแถวขึ้นกระเช้าเพื่อไปยังจุดเล่นสกีและจุดที่สูงที่สุดเริ่มเบาบาง เราใช้เวลาเพียง 5-10 นาทีเท่านั้น ก็มายืนอยู่บริเวณเซ็นเตอร์ของอาคารเล็กๆสองสามตึกที่ทำหน้าที่ของตนแตกต่างกันออกไป มีทั้งอาคารที่เป็นร้านอาหารขนาดย่อย อาคารเพื่อต่อไปยังจุดที่สูงที่สุดระดับที่ 2 และ 3 รวมถึงอาคารพักสำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการรอและชมวิวทิวทัศน์
ในเวลานี้สองเท้าทำหน้าที่ในการไต่ความสูงและเนินราบสีขาวด้วยความมุ่งหวังว่า จะหลบผู้คนสักพักและนั่งมองเสน่ห์ของ Erciyes และวิวของภูเขาลูกเล็กลูกน้อย พลันสายตาก็เหลือบเห็นกลุ่มหินก้อนใหญ่ที่สามารถนั่งชมวิวได้อย่างมั่นคงและไม่ลื่นไหวเป็นแน่ ความรู้สึกว่างเปล่าเข้ามาแทนที่ทันที ความขาวของเบื้องหน้าดูแทบจะไม่มีสิ่งมีชีวิตอยู่ คือความว่างเปล่าของความคิดและความรู้สึก โลกนี้มีสิ่งจรรโลงใจที่แตกต่างกัน บางคนเลือกจะอยู่กับตัวเอง บางคนเลือกที่จะกับเพื่อนพูดคุยแบ่งปันความรู้สึกนึกคิด และอื่นๆ แต่ผมเลือกที่จะอยู่กับตัวเองและสิ่งที่ได้พบในช่วงเวลาสั้นๆให้ได้มากที่สุด คนเราสามารถระบายความเครียดและผ่อนคลายได้ด้วยธรรมชาติ บางคนยอมปล่อยวางทุกสิ่งเมื่อมีโอกาสอำนวยในการอยู่กับธรรมชาติไปทั้งชีวิต แต่คนที่ยังทำงานและมีความฝัน ธรรมชาติเป้นสิ่งเติมเต็มให้ชีวิตในวันข้างหน้าได้ก้าวต่อและเป็นแรงผลักดันวันใหม่ ให้รู้สึกว่าข้างหน้ายังมีอะไรให้เราค้นหาไปเรื่อยๆ และแน่นอน ถ้าโลกนี้ยังไม่ล่มสลาย ธรรมชาติยังคงรอเราให้สัมผัสอยู่ทุกที่บนโลกใบนี้